วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553


ชื่อพายุ (I) ความหมาย ประเทศที่มาDamrey ดอมเรย ช้าง กัมพูชาHaikui ไห่คุ้ย - สาธารณรัฐประชาชนจีนKirogi ไคโรจิ ห่านป่า (ฝูงนกที่อพยพมาเกาหลีในฤดูใบไม้ร่วง และอพยพจากไปทางตอนเหนือในต้นฤดูใบไม้ผลิซึ่งมีพฤติกรรมคล้ายกับพายุไต้ฝุ่น) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีKai-tak ไคตั๊ก ชื่อสนามบินเก่าของฮ่องกง ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Tembin เทมบิง ราศีตุล ตาชั่ง ญี่ปุ่นBolaven โบลาเวน ที่ราบสูง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวSanba SAN-BA ชื่อสถานที่ในมาเก๊า Place name in Macoa มาเก๊าJelawat เจอลาวัต ชื่อปลาน้ำจืด มาเลเซียEwiniar เอวิเนียร์ ชื่อเทพเจ้าแห่งพายุ [ภาษาพื้นเมืองของเกาะชุก (Chuuk)] ไมโครนีเซียMariksi MA-LIK-SI คำคุณศัพท์ในภาษาประจำชาติของฟิลิปปินส์(?)มีความหมายว่า"รวดเร็ว" Filipino adjective which means fast ฟิลิปปินส์Gaemi เกมี มด สาธารณรัฐเกาหลีPrapiroon พระพิรุณ ฃื่อเทพเจ้าแห่งฝน ไทยMaria มาเรีย ชื่อผู้หญิง [ภาษาพื้นเมืองของหมู่เกาะมาเรียนา (Mariana)ในมหาสมุทราแปซิฟิก] สหรัฐอเมริกาSon Tinh SON-TING เทพเจ้าแห่งขุนเขาตามตำนานเทพของเวียดนาม (God of Mountain in Vietnamese myth) เวียดนามBopha โบพา ชื่อดอกไม้ / ชื่อเด็กหญิง กัมพูชาWukong หวู่คง ชื่อวีรบุรุษในตำนานจีน สาธารณรัฐประชาชนจีนSonamu โซนามุ ต้นส้น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีShanshan ซานซาน ชื่อหญิงสาว ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Yagi ยางิ ราศีมังกร แพะ ญี่ปุ่นLeepi LEE-PI น้ำตกที่สวยที่สุดทางตอนใต้สุดของประเทศลาว(The most beautiful waterfall in the end of Southern of Lao) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวBebinca เบบินคา ชื่อขนมพุดดิงของมาเก๊า มาเก๊าRumbia รุมเบีย ต้นปาล์ม มาเลเซียSoulik ซูลิก ตำแหน่งหัวหน้าเผ่าโบราณของเกาะโปนเป (Pohnpei) ไมโครนีเซียCimaron ซิมารอน วัวป่าในฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์Jebi เชบี นกนางแอ่น สาธารณรัฐเกาหลีMangkhut มังคุด MUNG-KUUT ชื่อผลไม้ ไทยUtor อูตอร์ แนวพายุฝนฟ้าคะนอง [ภาษาพื้นเมืองหมู่ชาวเกาะมาร์แชลล์ (Marshall)ในมหาสมุทรแปซิฟิก] สหรัฐอเมริกาTrami จ่ามี ชื่อดอกไม้ เวียดนามKong-rey กองเรย ชื่อสาวงามในตำนานเขมร ชื่อภูเขา กัมพูชาYutu ยู่ทู่ กระต่ายในตำนานจีน สาธารณรัฐประชาชนจีนToraji โทราจิ ชื่อต้นไม้ มีดอกสวยงาม พบในหุบเขาของเกาหลี รากใช้ทำอาหารและยา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีMan-yi มานหยี่ ชื่อช่องแคบ ปัจจุบันเป็นอ่างเก็บน้ำ ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Usagi อุซางิ กระต่าย ญี่ปุ่นPabuk ปาบึก (ปลาบึก) ชื่อปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวWutip หวู่ติ๊บ ผีเสื้อ มาเก๊าSepat เซอปัต ปลาน้ำจืดซึ่งมีครีบเล็ก ๆ สำหรับคลาน มาเลเซียFitow ฟิโทว์ ชื่อดอกไม้สวย มีกลิ่นหอม [ภาษาพื้นเมืองของเกาะยาป ( Yap) ] ไมโครนีเซียDanas ดานัส ประสบการณ์และความรู้สึก ฟิลิปปินส์Nari นารี ดอกไม้ สาธารณรัฐเกาหลีWipha วิภา ชื่อผู้หญิง ไทยFrancisco ฟรานซิสโก ชื่อผู้ชาย [ภาษาพื้นเมืองของหมู่เกาะมาเรียนา(Mariana)ในมหาสมุทรแปซิฟิก] สหรัฐอเมริกาLekima เลกีมา ชื่อผลไม้ เวียดนามKrosa กรอซา ปั้นจั่น กัมพูชาHaiyan ไห่เยี่ยน ชื่อนกทะเล สาธารณรัฐประชาชนจีนPodul โพดอล ต้นหลิว ต้นไม้ที่มักพบในตัวเมืองและชนบทของเกาหลี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีLingling เหล่งเหลง ชื่อหญิงสาว ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Kajiki คะจิกิ ชื่อปลาทะเลที่เกล็ดจะเปลี่ยนสีเมื่อพ้นน้ำ ญี่ปุ่นFaxai ฟ้าใส ชื่อผู้หญิง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวPEIPAH เพผ่า ชื่อปลาสวยงาม (แทน Vamei) มาเก๊า(Vamei) (ฮัวเหม่ย) นกชนิดหนึ่งมีเสียงร้องไพเราะ Tapah ตาปาห์ ชื่อปลาน้ำจืด มาเลเซียMitag มิแทก ชื่อผู้หญิง {ภาษาพื้นเมืองของเกาะในประเทศไมโครนีเชีย} ไมโครนีเซียHagibis ฮากิบิส รวดเร็ว ว่องไว ฟิลิปปินส์Neoguri โนกูรี สนุขพันธุ์ราคูน สาธารณรัฐเกาหลีRammasun รามสูร ชื่อยักษ์ในเทพนิยายไทย ไทยChataan ชาทาอาน ฝน [ภาษาพื้นเมืองของหมู่เกาะมาเรียนา(Mariana)ในมหาสมุทรแปซิฟิก] สหรัฐอเมริกาHalong หะลอง ชื่ออ่าวสวยงามในเวียดนาม เวียดนามNakri นากรี ชื่อดอกไม้ กัมพูชาFengshen ฟงเฉิน ชื่อเทพเจ้าแห่งลม สาธารณรัฐประชาชนจีนKalmaegi คัลเมจิ นกนางนวล ( สัญลักษณ์แห่งท้องทะเล ) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีFung-wong ฟองวอง ชื่อยอดเขา ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Kammuri คัมมุริ มงกุฎ ญี่ปุ่นPhanfone พันฝน สัตว์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวVongfong หว่องฟง ชื่อแมลง มาเก๊าRusa รูซา กวาง มาเลเซียSinlaku ซินลากอ ชื่อเทพธิดาในนิยาย ไมโครนีเซียHagupit ฮากุปิต เฆี่ยนตี ฟิลิปปินส์Jangmi ชังมี กุหลาบ สาธารณรัฐเกาหลีMekkhala เมขลา ชื่อเทพธิดาในเทพนิยายไทย ไทยHigos ฮีโกส ชื่อพืชชนิดหนึ่ง [ภาษาพื้นเมืองหมู่เกาะมารีน่า(Mariana) ในมหาสมุทรแปซิฟิก] สหรัฐเมริกาBavi บาหวี่ ชื่อภูเขาในภาคเหนือของเวียดนาม เวียดนามMaysak ไม้สัก ชื่อต้นไม้ [ ภาษาพื้นเมืองชองหมู่เกาะมารีนา (Mariana) ในมหาสมุทรแปซิฟิก] กัมพูชาHaishen ไห่เฉิน ชื่อเทพเจ้าแห่งท้องทะเล สาธารณรัฐประชาชนจีนPongsona พงโซนา ชื่อดอกไม้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีYanyan ยันยัน ชื่อสาวน้อย ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Kujira คุจิระ ปลาวาฬ ญี่ปุ่นChan-hom จันหอม (จันทน์หอม) ชื่อต้นไม้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวLinfa หลิ่นฟ้า ดอกบัว มาเก๊าNangka นังกา ชื่อผลไม้ มาเลเซียSoudelor เซาเดโลร์ ชื่อหัวหน้าเผ่าในเทพนิยายของชาวเกาะโปนเป( Pohnpei) ไมโครนีเซียImbudo อิมบุโด พายุงวงช้าง ฟิลิปปินส์Goni โคนี หงส์ซึ่งส่งเสียงร้อง สาธารณรัฐเกาหลีMorakot มรกต มรกต ไทยEtau เอตาว เมฆพายุ [ภาษาพื้นเมืองของเกาะปาเลา (Palau)] สหรัฐอเมริกาVamco หว่ามก๋อ ชื่อแม่น้ำในภาคใต้ของเวียดนาม เวียดนามKrovann กรอวาญ ชื่อต้นไม้ กัมพูชา(กระวาน) Dujuan ตู้เจี้ยน ชื่อไม้ดอก สาธารณรัฐประชาชนจีนMaemi เมมิ สัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งมักส่งเสียงร้องในฤดูร้อน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเมื่อเวลาเกิดพายุไต้ฝุ่นเข้าสู่ประเทศเกาหลี Choi-wan ฉอยหวั่น เมฆซึ่งมีสีสันสวยงาม ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Koppu คอบปุ ปล่องภูเขาไฟ, หลุม หรือแก้ว ญี่ปุ่นKitsana กิสนา (กฤษณา) ชื่อต้นไม้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวParma ป้าหม่า อาหารชนิดหนึ่งของมาเก๊า ประกอบด้วยเนื้อสะโพก ตับ และเห็ด มาเก๊าMelor เมอโลร์ ดอกมะลิ มาเลเซียNepartak เนพาร์ตัก นักรบผู้มีชื่อเสียง ไมโครนีเซียLupit ลูปีต ความโหดร้ายทารุณ ฟิลิปปินส์Sudal ซูแดล นาก สาธารณรัฐเกาหลีNida นิดา ชื่อผู้หญิง ไทยOmais โอไมส์ การเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ [ภาษาพื้นเมืองของเกาะปาเลา (Palau)] สหรัฐอเมริกาConson โกนเซิน ชื่อโบราณสถาน เวียดนามChanthu จันทู ชื่อดอกไม้ กัมพูชาDianmu เตี้ยนหมู่ เจ้าแม่สายอสุนี สาธารณรัฐประชาชนจีนMindulle มินดอนเล ดอกไม้เล็ก ๆสีเหลืองบานในฤดูใบไม่ผลิ สื่อถึงจิตใจที่อ่อนโยนและบริสุทธิ์ของสาวเกาหลี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีTingting เถ่งเถง ชื่อสาวน้อย ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Kompasu คอมปาซุ วงเวียน ญี่ปุ่นNamtheun น้ำเทิน ชื่อแม่น้ำ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวMalou หม่าโหล หินโมรา มาเก๊าMeranti เมอรันตี ชื่อต้นไม้ มาเลเซียRananim รานานิม คำสวัสดี [ภาษาพื้นเมืองของเกาะชุก (Chuuk)] ไมโครนีเซียMalakas มาลากัส แข็งแกร่ง เต็มไปด้วยพลัง ฟิลิปปินส์Megi เมกี ปลา สาธารณรัฐเกาหลีChaba ชบา ดอกชบา (ดอกไม้เขตร้อนชนิดหนึ่ง) ไทยAere แอรี สหรัฐอเมริกาSongda ซงด่า ชื่อแม่น้ำในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม เวียดนามSarika สาลิกา ชื่อนกชนิดหนึ่ง ชอบร้องเพลง กัมพูชาHaima ไหหม่า ม้าน้ำ สาธารณรัฐประชาชนจีนMeari มิอะริ เสียงสะท้อน(หมายถึง ทันทีที่เกิดพายุไต้ฝุ่น คำประกาศแจ้งของคณะกรรมการไต้ฝุ่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีก็จะสะท้อนก้องไปสู่ประเทศสมาชิก) Ma-on หมาง้อน อานม้า ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Tokage โทะคาเงะ สัตว์เลื้อยคลาน พวกจิ้งจก ตุ๊กแก ญี่ปุ่นNock-ten นกเตน (นกกระเต็น) ชื่อนก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวMuifa หมุ่ยฟ้า ดอกพลัมบาน มาเก๊าMerbok เมอร์บุก ชื่อนก มาเลเซียNamadol นันมาดอล โบราณสถานที่มีชื่อเสียงของโปนเป (Pohnpei) หรือ เวนิชแห่งแปซิฟิก ไมโครนีเซีย Talas ตาลัส แหลมคม ฟิลิปปินส์Noru โนรู กวาง สาธารณรัฐเกาหลีKulap กุหลาบ ชื่อดอกไม้ ไทยRoke โรคี ชื่อผู้ชาย [ในภาษาพื้นเมืองของหมู่เกาะมาเรียนา (Mariana)ในมหาสมุทรแปซิฟิก] สหรัฐอเมริกาSonca เซินกา ชื่อนกชนิดหนึ่ง ชอบร้องเพลง เวียดนามNesat เนสาด ชาวประมง กัมพูชาHaitang ไห่ถาง ชื่อผลไม้ของจีน สาธารณรัฐประชาชนจีนNalgae นาลแก ปีก (หมายถึงการโบยบิน เคลื่อนที่ เคลื่อนไหวอย่างมีอิสระ) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีBanyan บันยัน ชื่อต้นไม้ ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Washi วาชิ ชื่อหมู่ดาว นกอินทรีย์ ญี่ปุ่นMatsa มัดสา (มัศยา,มัตสยา,มัสยา) ปลาตัวเมีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวSanvu ซันหวู่ หินปะการัง มาเก๊าMawar มาวาร์ กุหลาบ มาเลเซียGuchol กูโชล เครื่องเทศชนิดหนึ่ง ไมโครนีเซียTalim ตาลิม แหลมคม หรือ ด้านคมของใบมีด ฟิลิปปินส์Nabi นาบี ผีเสื้อ สาธารณรัฐเกาหลีKhanun ขนุน ชื่อผลไม้ ไทยVicente วีเซนเต เมฆ [ภาษาชามาร์โร Chamarro)] สหรัฐอเมริกาSaola ซาวลา สัตว์ชนิดหนึ่ง ค้นพบในเวียดนาม เวียดนามมีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2551 (จากการประชุมคณะกรรมการไต้ฝุ่นครั้งที่ 40 ณ ประเทศมาเก๊า ระหว่างวันที่ 21-26 พฤศจิกายน 2550 )ที่มา http://www.tmd.go.th/info/info.php?FileID=28
เขียนโดย ด.ญ.ธันยพร ดอนแก้ว0 ความคิดเห็น

การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ คืออะไร ?การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) คือ การเปลี่ยนแปลงลักษณะอากาศเฉลี่ย (average weather) ในพื้นที่หนึ่ง ลักษณะอากาศเฉลี่ย หมายความรวมถึง ลักษณะทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับอากาศ เช่น อุณหภูมิ ฝน ลม เป็นต้น (ดูความหมายของ climate และ weather คลิ๊กที่นี่)ในความหมายตามกรอบของอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ FCCC (Framework Convention on Climate Change) การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อันเป็นผลทางตรง หรือทางอ้อมจากกิจกรรมของมนุษย์ ที่ทำให้องค์ประกอบของบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไป นอกเหนือจากความผันแปรตามธรรมชาติแต่ความหมายที่ใช้ในคณะกรรมการระหว่างรัฐบาล ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะเนื่องมาจาก ความผันแปรตามธรรมชาติ หรือกิจกรรมของมนุษย์มนุษย์มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศได้อย่างไร ?กิจกรรมของมนุษย์ที่มีผลทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง คือ กิจกรรมที่ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ในบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น เป็นเหตุให้ภาวะเรือนกระจก (Greenhouse Effect) รุนแรงกว่าที่ควรจะเป็นตามธรรมชาติ และส่งผลให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกสูงขึ้น ที่เรียกว่า ภาวะโลกร้อน (Global warming) ก๊าซเรือนกระจก คืออะไร ?ก๊าซเรือนกระจก คือ ก๊าซที่เป็นองค์ประกอบของบรรยากาศ และมีคุณสมบัติยอมให้รังสีคลื่นสั้นจากดวงอาทิตย์ผ่านทะลุมายังพื้นผิวโลกได้ แต่จะดูดกลืนรังสีคลื่นยาวช่วงอินฟราเรดที่แผ่ออกจากพื้นผิวโลกเอาไว้ ก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ และเป็นผลมาจากกิจกรรมของมนุษย์ ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ มีเธน ไนตรัสออกไซด์ ฯลฯภาวะเรือนกระจก คืออะไร ?ภาวะเรือนกระจก คือ ภาวะที่ชั้นบรรยากาศของโลกกระทำตัวเสมือนกระจก ที่ยอมให้รังสีคลื่นสั้นจากดวงอาทิตย์ผ่านลงมายังพื้นผิวโลกได้ แต่จะดูดกลืนรังสีคลื่นยาวช่วงอินฟราเรดที่แผ่ออกจากพื้นผิวโลกเอาไว้ จากนั้นก็จะคายพลังงานความร้อนให้กระจายอยู่ภายใน บรรยากาศจึงเปรียบเสมือนกระจกที่ปกคลุมผิวโลกให้มีภาวะสมดุลทางอุณหภูมิ และเหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิตบนผิวโลก (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tmd.go.th/knowledge/know_greenhouse01.html)ภาวะโลกร้อน คืออะไร ?ภาวะโลกร้อน หมายถึง ภาวะที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ภาวะโลกร้อนอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของปริมาณฝน ระดับน้ำทะเล และมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อพืช สัตว์ และมนุษย์โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ ?ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1861 (พ.ศ. 2404) อุณหภูมิผิวพื้นเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น และสูงขึ้นประมาณ 0.6 องศาเซลเซียส ในศตวรรษที่ 20 (จากรายงานการประเมินครั้งที่ 3 หรือ Third Assessment Report - TAR ของคณะทำงานกลุ่ม 1 IPCC) จากการวิเคราะห์ข้อมูลในซีกโลกเหนือ ย้อนหลังไป 1,000 ปี พบว่า อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นมากในศตวรรษที่ 20 โดยสูงขึ้นมากที่สุดในทศวรรษที่ 1990 และ ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) เป็นปีที่ร้อนมากที่สุดในรอบ 1,000 ปีปริมาณฝนและระดับน้ำทะเลเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ?ในศตวรรษที่ 20 ปริมาณน้ำฟ้า (น้ำฟ้า หมายถึง น้ำที่ตกลงมาจากฟ้าไม่ว่าจะอยู่ในภาวะของเหลวหรือของแข็ง เช่น ฝน หิมะ ลูกเห็บ) บริเวณพื้นแผ่นดินส่วนใหญ่ของซีกโลกเหนือในเขตละติจูดกลางและละติจูดสูง สูงขึ้นโดยเฉลี่ย 5 - 10 % แต่ลดลงประมาณ 3 % ในบริเวณกึ่งเขตร้อนส่วนระดับน้ำทะเล จากข้อมูลทางธรณีวิทยา ปรากฏว่าเมื่อ 6,000 ปีที่ผ่านมาระดับน้ำทะเลของโลกสูงขึ้นในอัตราเฉลี่ยประมาณ 0.5 มม./ปี และในระยะ 3,000 ปีที่ผ่านมา สูงขึ้นเฉลี่ย 0.1 - 0.2 มม./ปี (IPCC, 2001) แต่จากข้อมูลตรวจวัดในศตวรรษที่ 20 ระดับน้ำทะเลของโลกสูงขึ้นในอัตราเฉลี่ย 1 - 2 มม./ปีประชาคมโลกตอบสนองต่อปัญหานี้อย่างไร ?ในการประชุมภูมิอากาศโลกครั้งแรก (The First World Climate Conference) ซึ่งจัดขึ้นที่เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 12 - 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 นักวิทยาศาสตร์ได้ตระหนักถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก การประชุมครั้งนี้เน้นถึงเรื่องผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่มีต่อมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ และเรียกร้องให้รัฐบาลของแต่ละประเทศให้ความสำคัญกับภูมิอากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลงและป้องกันการกระทำของมนุษย์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ซึ่งจะกลับมามีผลกระทบต่อมนุษย์เอง นอกจากนี้ยังได้วางแผนจัดตั้ง "แผนงานภูมิอากาศโลก" (World Climate Programme หรือ WCP) ภายใต้ความรับผิดชอบขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization หรือ WMO), โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme หรือ UNEP) และ International Council of Science Unions หรือ ICSUหลังจาก พ.ศ. 2522 เป็นต้นมาได้มีการประชุมระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอีกหลายครั้ง ที่สำคัญ ๆ ได้แก่ The Villach Conference ประเทศออสเตรีย (9 - 15 ตุลาคม 2528), The Toronto Conference ประเทศแคนาดา (27 - 30 มิถุนายน พ.ศ.), The Ottawa Conference ประเทศแคนาดา (20 - 22 กุมภาพันธ์ 2532), The Tata Conference นิวเดลฮี ประเทศอินเดีย (21 - 23 กุมภาพันธ์ 2532), The Hague Conference and Declaration ประเทศเนเธอร์แลนด์ (11 มีนาคม 2532), The Noordwijk Ministerial Conference ประเทศเนเธอร์แลนด์ (6 - 7 พฤศจิกายน 2532), The Cairo Compact ประเทศอียิปต์ (ธันวาคม 2532) และ The Bergen Conference ประเทศนอรเวย์ (พฤษภาคม 2533) การประชุมเหล่านี้ช่วยให้ประเทศต่าง ๆ ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศมากขึ้น ผู้เข้าร่วมประชุม รวมทั้งผู้กำหนดนโยบายในหน่วยงานรัฐบาล นักวิทยาศาสตร์และนักสิ่งแวดล้อม ได้พิจารณาประเด็นทั้งด้านวิทยาศาสตร์และนโยบาย และเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกร่วมมือดำเนินการเกี่ยวกับปัญหานี้ปี พ.ศ. 2531 องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก และโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ได้จัดตั้ง คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change หรือ IPCC) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินข้อมูลข่าวสารด้านวิทยาศาสตร์ และเศรษฐกิจ-สังคมที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ตลอดจนผลกระทบ การปรับตัว และการบรรเทาปัญหาอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศพ.ศ. 2533 IPCC ได้เสนอรายงานการประเมินครั้งที่ 1 (The First Assessment Report) ซึ่งเน้นย้ำปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ รายงานนี้มีผลอย่างมากต่อสาธารณชนและผู้กำหนดนโยบาย และเป็นพื้นฐานในการเจรจาอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในเดือนธันวาคม 2533 ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติมีมติให้เริ่มดำเนินการเจรจาข้อตกลง โดยตั้งคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลเพื่อจัดทำร่างอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Intergovernmatal Nogotiating Committee for a Framework Convention on Climate Change หรือ INC/FCCC) ซึ่งได้มีการประชุมทั้งหมด 5 ครั้ง ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2534 - พฤษภาคม 2535 และเนื่องจากเส้นตายที่จะมีการประชุมสุดยอดของโลก (Earth Summit) หรือการประชุมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (United Nations Conference on Environment and Development หรือ UNCED) ในเดือนมิถุนายน 2535 ผู้เจรจาจาก 150 ประเทศจึงจัดทำร่างอนุสัญญาฯ เสร็จสิ้น และยอมรับที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2535ในการประชุมสุดยอดของโลก เมื่อเดือนมิถุนายน 2535 ที่กรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ตัวแทนรัฐบาล 154 รัฐบาล (รวมสหภาพยุโรป) ได้ลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change หรือ UNFCCC) โดยเป้าหมายสูงสุดของ UNFCCC คือ การรักษาระดับปริมาณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศให้คงที่อยู่ในระดับที่ไม่มีผลกระทบต่อระบบภูมิอากาศวันที่ 21 มีนาคม 2537 เป็นวันที่อนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอนุสัญญาฯ ระบุว่าให้มีผลบังคับใช้ภายใน 90 วัน หลังจากประเทศที่ 50 ให้สัตยาบันต่อจากนั้นอีก 6 เดือน คือ วันที่ 21 กันยายน 2537 ประเทศพัฒนาแล้วเริ่มเสนอรายงานแห่งชาติ (National Communications) เกี่ยวกับกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ขณะเดียวกัน คณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลฯ (INC) ได้มีการประชุมกันหลายครั้งเพื่อพิจารณาเรื่องการอนุวัติตามอนุสัญญาฯ การจัดการเกี่ยวกับการเงิน การสนับสนุนเงินทุนและเทคโนโลยีแก่ประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งแนวทางการดำเนินงานและสถาบันที่เกี่ยวข้อง ต่อมาคณะกรรมการชุดนี้ค่อย ๆ ลดบทบาทลง และยุบไป (การประชุมครั้งสุดท้าย เดือนกุมภาพันธ์ 2538) และได้ให้ที่ประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาฯ ( The Conference of the Parties หรือ COP) เป็นองค์กรสูงสุดของอนุสัญญาฯ โดย COP มีหน้าที่ติดตามตรวจสอบการอนุวัติตามอนุสัญญาฯ และประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการตัดสินใจสนับสนุนและส่งเสริมการอนุวัติตามอนุสัญญาฯ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง COP มีการประชุมทุกปี จำนวน 9 ครั้ง จนถึง พ.ศ. 2546 ดังนี้COP-1เป็นการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาฯ ครั้งแรก จัดขึ้นที่ เบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 28 มีนาคม - 7 เมษายน พ.ศ. 2538COP-2จัดขึ้นที่ เจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 8 - 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2539COP-3จัดขึ้นที่ เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 1 - 10 ธันวาคม พ.ศ. 2540COP-4จัดขึ้นที่ บัวโนส ไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ระหว่างวันที่ 2 - 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541COP-5จัดขึ้นที่ กรุงบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542COP-6จัดขึ้น กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 13 - 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543COP-7จัดขึ้นที่ มาราเก็ช ประเทศโมรอคโค ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม - 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544COP-8จัดขึ้นที่ นิวเดลฮี ประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545COP-9จัดขึ้นที่ มิลาน ประเทศอิตาลี ระหว่างวันที่ 1 - 12 ธันวาคม พ.ศ. 2546ที่มา http://www.tmd.go.th/info/info.php?FileID=86
เขียนโดย ด.ญ.ธันยพร ดอนแก้ว0 ความคิดเห็น

1 เมื่อมีลมพัดมาประทะกับแผ่นโลหะ ปลายข้างหนึ่งของแผ่นโลหะจะกระดกขึ้นมุมที่แผ่นโลหะทำแนวตั้งนี้จะขึ้นอยู่กับความแรงของลม เครื่องมือนี้คือข้อใด
ก. อะมิโนมิเตอร์ ( Anemometer ) ข. บารอมิเตอร์ค. เทอร์มอมิเตอร์ ง. ไฮโกรมิเตอร์2. ข้อใด ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นลูกศรยาว มีแพนหางตั้งตรง เป็นตัวบังคับให้ปลายศรลมชี้ไปในทิศทางที่ลมพัดเข้ามา โดยที่แกนของศรลมหมุนไปโดยรอบก. อะมิโนมิเตอร์ ( Anemometer ) ข. ศรลม ( Wind vane )ค. เทอร์มอมิเตอร์ ง. ไฮโกรมิเตอร์3.ข้อใด เกิดจากความแตกต่างของความกดอากาศ โดยจะพัดจากบริเวณที่มีความกดอากาศสูงเข้าสู่บริเวณที่มีความกดอากาศต่ำ ภาพนี้คือ ก. ภาพแสดงการเกิดลม ข. ภาพแสดงการลมบกลมทะเลค. ภาพแสดงการวัดความชื้น ง.ภาพแสดงการวัดความกดดัน4. ลมข้อใด เกิดขึ้นในตอนกลางวัน เนื่องจากอุณหภูมิของพื้นน้ำที่ได้รับจากดวงอาทิตย์สูงขึ้นช้ากว่าพื้นดิน ทำให้อากาศที่อยู่ใกล้พื้นดินมีอุณหภูมิสูงกว่าอากาศที่อยู่ใกล้พื้นน้ำ ก. ลมทะเล ( Sea breeze ) ข.ลมบก ( Land breeze )ค. ลมหุบเขา ง.ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้5.จากรูปนี้หมายถึงนักอุตุนิยมวิทยา นิยมใช้ข้อมูลเกี่ยวกับความกดอากาศ ณ ตำแหน่งต่างๆ ที่ระดับน้ำทะเลซึ่งตรวจวัดได้จากสถานีตรวจอากาศต่างๆ บันทึกลงในข้อใดที่แสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของลมที่พัดผ่านส่วนต่างๆ ของโลกก.เส้นไอโซบาร์ ( Isobar ) ข.ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือค. แผนที่อากาศ (Weather map) ง.ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
เขียนโดย ด.ญ.ธันยพร ดอนแก้ว0 ความคิดเห็น

ไหว้เจ้า เสริมดวงชะตา รับ ตรุษจีน2553 นี้
ไหว้เจ้า เสริมดวงชะตา รับ ตรุษจีน2553 นี้ตรุษจีน ปี2553 ทุกราศีควรไปไหว้ เทพเจ้าเสริมดวงชะตา ดังนี้ปีชวด(หนู)ให้ไปไหว้ขอพร “องค์ซำกวง” หรือ “เทพ 3 ตา” วัดทิพย์วารี หลังจราจรกลาง ถ.ตรีเพชร กรุงเทพปีฉลู(วัว)ให้ไปไหว้ขอพร “เทพหั่วท้อ” หรือ “หมออูโต๋ว” (หมดเทวดา) ที่วัดทิพย์วารี หลังจราจรกลาง ถ.ตรีเพชร กทม.ปีขาล(เสือ)ให้ไปไหว้ขอพร “ไท้ส่วยเอี๊ย” ที่ศาลเจ้าเล่งเน่ยยี่ มังกรกมลาวาส(ทำแก้ชง)ปีเถาะ(กระต่าย)ให้ไปไหว้ขอพร “เทพเจ้าไท้เอี๊ยง” ที่ศาลเจ้าเล่งเน่ยยี่มังกรกมลาวาส หรือ วัดทิพย์วารี หลังจราจรกลาง ถ.ตรีเพชร กทม.ปีมะโรง(งูใหญ่) ให้ไปไหว้ขอพร “เทพเทียงเต็ก” ไหว้ฟ้าดิน หรือไหว้ที่เสาทีกงได้ทุกศาลเจ้าปีมะเส็ง(งูเล็ก)ให้ไปไหว้ขอพร “ไท้ส่วยเอี๊ย” ที่ศาลเจ้าเล่งเน่ยยี่ มังกรกมลาวาส(ทำแก้ชง)“องค์ไท้อิม” ที่วัดทิพย์วารี หลังจราจรกลาง ถ.ตรีเพชร กทม.ปีมะเมีย(ม้า)ให้ไปไหว้ขอพร “องค์เจี้ยงแซ” ไหว้ “เทพเจ้ากวนอู” ที่ ศาลเจ้ากวนตี่ เยาวราชหรือที่ไหนก็ได้ที่มีปีมะแม(แพะ) ให้ไปไหว้ขอพร “เทพห่วยเต็ก” ไหว้ “เจ้าแม่กวนอิม” ที่ มูลนิธิเทียนฟ้า เยาวราช หรือทุกศาลเจ้าที่มีปีวอก(ลิง) ให้ไปไหว้ขอพร “ไท้ส่วยเอี๊ย” ที่ศาลเจ้าเล่งเน่ยยี่ มังกรกมลาวาส(ทำแก้ชง)ปีระกา(ไก่) ให้ไปไหว้ขอพร “เทพเหล่งเต็ก” ไหว้ “องค์แป๊ะกง” ได้ทุกศาลเจ้าที่มีแป๊ะกงปีจอ(หมา) ให้ไปไหว้ขอพร “องค์ตั่วเหล่าเอี๊ย” ได้ทุกศาลเจ้าที่มีเจ้าพ่อเสือปีกุน(หมู) ให้ไปไหว้ขอพร “ไท้ส่วยเอี๊ย” ที่ศาลเจ้าเล่งเน่ยยี่ มังกรกมลาวาส(ทำแก้ชง)"องค์กวนอู” ไหว้ “เทพเจ้ากวนอู” ที่ ศาลเจ้ากวนตี่ เยาวราช หรือ ที่ไหนก็ได้ที่มีถ้า ไม่สามารถไปไหว้เทพเจ้าเสริมดวงชะตาตามที่แนะนำตามศาลเจ้าที่บอกได้ให้ดูตาม ศาลเจ้าหรือวัดใกล้บ้านที่มีเทพเจ้าเสริมดวงชะตาตามปีเกิดของคุณแล้วขอพรจากองค์เทพนั้นโดยตรง โดยอธิฐานดังนี้ข้าพเจ้า ขอกราบบูชาและต้อนรับ”.....(ชื่อเทพเจ้าที่เสริมดวงชะตาปี2553 ประจำปีเกิดของคุณ)” ซึ่งมาสถิตในเรือนชะตาของ ข้าพเจ้า (ชื่อ-นามสกุล)ด้วยความศรัทธายิ่งขอได้โปรดประทานพรให้ข้าพเจ้า ปราศจากอุปสรรค แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง พร้อมทั้งประทานความสำเร็จ ความสุขความเจริญ มีสิริมงคล สุขภาพแข็งแรง และโชคดีตลอดปี2553 แก่ข้าพเจ้า เทอญ...สาธุตรุษจีน หรือ เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ หรือ ขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ และยังรู้จักกันในนาม วันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีของชาวจีนในจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก เทศกาลนี้เริ่มต้นในวันที่ 1 เดือน 1 ของปีตามจันทรคติ และสิ้นสุดในวันที่ 15 ซึ่งจะเป็นเทศกาลประดับโคมไฟในวันตรุษจีนจะมีการเฉลิมฉลองทั่วโลกโดยเฉพาะชุมชนเชื้อสายจีนขนาดใหญ่ และตรุษจีนถือเป็นวันหยุดที่สำคัญมากช่วงหนึ่งของชาวจีน และยังแผ่อิทธิพลไปถึงการฉลองปีใหม่ของชนชาติที่อยู่รายรอบ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี เมี่ยน ม้ง มองโกเลีย เวียดนาม ทิเบต เนปาล และภูฐาน สำหรับชาวจีนที่อาศัยอยู่ต่างถิ่นกันก็จะมีประเพณีเฉลิมฉลองต่างกันไป ในประเทศไทยชาวไทยเชื้อสายจีนจะถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน คือวันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยววันจ่าย คือวันก่อนวันสิ้นปี เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปซื้ออาหารผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าทั้งหลายจะปิดร้านหยุดพักผ่อนยาว ในตอนค่ำจะมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการบูชาของเจ้าบ้าน หลังจากที่ได้ไหว้อัญเชิญขึ้นสวรรค์เมื่อ 4 วันที่แล้ววันไหว้ คือวันสิ้นปี จะมีการไหว้ 3 ครั้ง คือตอนเช้ามืดจะไหว้ "ไป่เล่าเอี๊ย" เป็นการไหว้เทพเจ้าต่างๆ เครื่องไหว้คือ เนื้อสัตว์สามอย่าง (ซาแซ) ได้แก่ หมู เป็ด ไก่ หรือเพิ่มตับ ปลา เป็นเนื้อสัตว์ห้าอย่าง (โหงวแซ) เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทองตอนสาย จะไหว้ "ไป่แป๋บ้อ" คือการไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูตาม คติจีน การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เกินเที่ยง เครื่องไหว้จะประกอบด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน (ส่วนมากจะทำตามที่ผู้ที่ล่วงลับเคยชอบ) รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ หลังจากนั้น ญาติพี่น้องจะมารวมกันรับประทานอาหารที่ได้เซ่นไหว้ไปเป็นสิริมงคล และถือเป็นเวลาที่ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลจะรวมตัวกันได้มากที่สุด จะแลกเปลี่ยนอั่งเปาหลังจากรับประทานอาหารร่วมกันแล้วตอนบ่าย จะไหว้ "ไป่ฮ่อเฮียตี๋" เป็นการไหว้ผีพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เครื่องไหว้จะเป็นพวกขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล กระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมทั้งมีการจุดประทัดเพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายและเพื่อเป็นสิริมงคลวันเที่ยว หรือ วันถือ คือวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันที่หนึ่ง ของเดือนที่หนึ่งของปี วันนี้ชาวจีนจะถือธรรมเนียมโบราณที่ยังปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงปัจจุบันคือ "ไป่เจีย" เป็นการไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพรัก โดยนำส้มสีทองไปมอบให้ เหตุที่ให้ส้มก็เพราะส้มออกเสียงภาษาจีนแต้จิ๋วว่า "กิก" ซึ่งไปพ้องกับคำว่าความสุขหรือโชคลาภ เพราะฉะนั้นการให้ส้มจึงเหมือนนำความสุขหรือโชคลาภไปให้ จะมอบส้มจำนวน 4 ผล ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าของผู้ชาย เหตุที่เรียกวันนี้ว่าวันถือคือ เป็นวันที่ชาวจีนถือว่าเป็นสิริมงคล งดการทำบาป จะมีคติถือบางอย่าง เช่น ไม่พูดจาไม่ดีต่อกัน ไม่ทวงหนี้กัน ไม่จับไม้กวาด และจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่แล้วออกเยี่ยมอวยพรและพักผ่อนนอกบ้าน เป็นต้นสัญลักษณ์อีกอย่างของเทศกาลนี้ คือ อั่งเปา (ซองแดง) คือ ซองแดงใส่เงินที่ผู้ใหญ่แล้วจะมอบให้ผู้น้อย และมีการแลกเปลี่ยนกันเอง หรือ หรือจะใช้คำว่า แต๊ะเอีย (ผูกเอว) ที่มาคือในสมัยก่อน เหรียญจะมีรูตรงกลาง ผู้ใหญ่จะร้อยด้วยเชือกสีแดงเป็นพวงๆ และนำมามอบให้เด็กๆ เด็กๆ ก็จะนำมาผูกเก็บไว้ที่เอวในเทศกาลนี้ ชาวจีนจะกล่าวคำ ห่ออ่วย หรอคำอวยพรภาษาจีนให้กัน หรือมีการติดห่ออ่วยไว้ตามสถานที่ต่างๆ คำที่นิยมใช้กันได้แก่แต้จิ๋ว: ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ จีนกลาง: ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาฉาย แปลว่า ขอให้ประสบโชคดี ขอให้มั่งมีปีใหม่เกียฮ่อซินนี้ ซินนี้ตั้วถั่น แปลว่า สวัสดีปีใหม่ ขอให้ร่ำรวยๆอีกฝ่ายก็จะกล่าวตอบว่า ตั่งตังยู่อี่ แปลว่า ขอให้สุขสมหวังเช่นกันที่มา http://images.google.com/imgres?imgurl=http://www.lifepitlok.com/images_news/1263171994.jpg&imgrefurl=http://www.lifepitlok.com/&usg=__v00JW7HbMY26yWHUBo8_vLNbwHc=&h=300&w=450&sz=76&hl=th&start=2&sig2=955APENtaT-PZlKDNGThrw&um=1&itbs=1&tbnid=-7KlA1OqtfS57M:&tbnh=85&tbnw=127&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%25A9%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%2599%2B2553%26hl%3Dth%26rls%3Dcom.microsoft:en-US%26sa%3DN%26um%3D1&ei=0HZ1S4jwNYPBrAeaseW8Cg
เขียนโดย ด.ญ.ธันยพร ดอนแก้ว0 ความคิดเห็น


เขียนโดย ด.ญ.ธันยพร ดอนแก้ว 0 ความคิดเห็น

ลักษณะพื้นที่ มีฝนตกน้อยกว่า 20% ของพื้นที่ หมายถึงข้อใดก.ฝนบางพื้นที่(Isolated) ข.ฝนกระจายเป็นแห่งๆ (Widely Scattered)ค.ฝนกระจาย(Scattered) ง.ฝนเกือบทั่วไป(Almost Widespread)ลักษณะพื้นที่ มีฝนตกตั้งแต่ 20% ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 40% ของพื้นที่ หมายถึงข้อใดก.ฝนบางพื้นที่(Isolated) ข.ฝนเกือบทั่วไป(Almost Widespread)ค.ฝนกระจาย(Scattered) ง.ฝนกระจายเป็นแห่งๆ (Widely Scattered)ลักษณะพื้นที่ มีฝนตกตั้งแต่ 40% ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 60% ของพื้นที่ หมายถึงข้อใดก.ฝนบางพื้นที่(Isolated) ข.ฝนเกือบทั่วไป(Almost Widespread)ค.ฝนกระจาย(Scattered) ง.ฝนกระจายเป็นแห่งๆ (Widely Scattered)ลักษณะพื้นที่ มีฝนตกตั้งแต่ 60% ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 80% ของพื้นที่ หมายถึงข้อใดก.ฝนบางพื้นที่(Isolated) ข.ฝนกระจาย(Scattered) ค.ฝนเกือบทั่วไป(Almost Widespread)ง.ฝนกระจายเป็นแห่งๆ (Widely Scattered)ลักษณะพื้นที่ มีฝนตกตั้งแต่ 80% ของพื้นที่ ขึ้นไป หมายถึงข้อใดก.ฝนบางพื้นที่(Isolated) ข.ฝนทั่วไป(Widespread) ค.ฝนเกือบทั่วไป(Almost Widespread)ง.ฝนกระจายเป็นแห่งๆ (Widely Scattered)ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ 10.1 มิลลิเมตร ถึง 35.0 มิลลิเมตร หมายถึงข้อใดก.ฝนปานกลาง(Moderate Rain) ข.ฝนหนัก(Heavy Rain)ค.ฝนหนักมาก(Very Heavy Rain) ง.ฝนเล็กน้อย(Light Rain)ข้อใด หมายถึง ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ 90.1 มิลลิเมตร ขึ้นไปก.ฝนปานกลาง(Moderate Rain) ข.ฝนหนัก(Heavy Rain)ค.ฝนหนักมาก(Very Heavy Rain) ง.ฝนเล็กน้อย(Light Rain)ข้อใด หมายถึง ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ 0.1 มิลลิเมตร ถึง 10.0 มิลลิเมตรก.ฝนปานกลาง(Moderate Rain) ข.ฝนหนัก(Heavy Rain)ค.ฝนหนักมาก(Very Heavy Rain) ง.ฝนเล็กน้อย(Light Rain)ข้อใด หมายถึง ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ 35.1 มิลลิเมตร ถึง 90.0 มิลลิเมตรก.ฝนหนัก(Heavy Rain) ข.ฝนปานกลาง(Moderate Rain) ค.ฝนหนักมาก(Very Heavy Rain) ง.ฝนเล็กน้อย(Light Rain)ข้อใด หมายถึง ฝนตกมีปริมาณนับไม่ได้ก.ไม่มีฝนตก ข.ฝนปานกลาง(Moderate Rain) ค.ฝนหนักมาก(Very Heavy Rain) ง.ฝนเล็กน้อย(Light Rain)

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553


ชื่อพายุ (I) ความหมาย ประเทศที่มาDamrey ดอมเรย ช้าง กัมพูชาHaikui ไห่คุ้ย - สาธารณรัฐประชาชนจีนKirogi ไคโรจิ ห่านป่า (ฝูงนกที่อพยพมาเกาหลีในฤดูใบไม้ร่วง และอพยพจากไปทางตอนเหนือในต้นฤดูใบไม้ผลิซึ่งมีพฤติกรรมคล้ายกับพายุไต้ฝุ่น) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีKai-tak ไคตั๊ก ชื่อสนามบินเก่าของฮ่องกง ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Tembin เทมบิง ราศีตุล ตาชั่ง ญี่ปุ่นBolaven โบลาเวน ที่ราบสูง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวSanba SAN-BA ชื่อสถานที่ในมาเก๊า Place name in Macoa มาเก๊าJelawat เจอลาวัต ชื่อปลาน้ำจืด มาเลเซียEwiniar เอวิเนียร์ ชื่อเทพเจ้าแห่งพายุ [ภาษาพื้นเมืองของเกาะชุก (Chuuk)] ไมโครนีเซียMariksi MA-LIK-SI คำคุณศัพท์ในภาษาประจำชาติของฟิลิปปินส์(?)มีความหมายว่า"รวดเร็ว" Filipino adjective which means fast ฟิลิปปินส์Gaemi เกมี มด สาธารณรัฐเกาหลีPrapiroon พระพิรุณ ฃื่อเทพเจ้าแห่งฝน ไทยMaria มาเรีย ชื่อผู้หญิง [ภาษาพื้นเมืองของหมู่เกาะมาเรียนา (Mariana)ในมหาสมุทราแปซิฟิก] สหรัฐอเมริกาSon Tinh SON-TING เทพเจ้าแห่งขุนเขาตามตำนานเทพของเวียดนาม (God of Mountain in Vietnamese myth) เวียดนามBopha โบพา ชื่อดอกไม้ / ชื่อเด็กหญิง กัมพูชาWukong หวู่คง ชื่อวีรบุรุษในตำนานจีน สาธารณรัฐประชาชนจีนSonamu โซนามุ ต้นส้น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีShanshan ซานซาน ชื่อหญิงสาว ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Yagi ยางิ ราศีมังกร แพะ ญี่ปุ่นLeepi LEE-PI น้ำตกที่สวยที่สุดทางตอนใต้สุดของประเทศลาว(The most beautiful waterfall in the end of Southern of Lao) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวBebinca เบบินคา ชื่อขนมพุดดิงของมาเก๊า มาเก๊าRumbia รุมเบีย ต้นปาล์ม มาเลเซียSoulik ซูลิก ตำแหน่งหัวหน้าเผ่าโบราณของเกาะโปนเป (Pohnpei) ไมโครนีเซียCimaron ซิมารอน วัวป่าในฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์Jebi เชบี นกนางแอ่น สาธารณรัฐเกาหลีMangkhut มังคุด MUNG-KUUT ชื่อผลไม้ ไทยUtor อูตอร์ แนวพายุฝนฟ้าคะนอง [ภาษาพื้นเมืองหมู่ชาวเกาะมาร์แชลล์ (Marshall)ในมหาสมุทรแปซิฟิก] สหรัฐอเมริกาTrami จ่ามี ชื่อดอกไม้ เวียดนามKong-rey กองเรย ชื่อสาวงามในตำนานเขมร ชื่อภูเขา กัมพูชาYutu ยู่ทู่ กระต่ายในตำนานจีน สาธารณรัฐประชาชนจีนToraji โทราจิ ชื่อต้นไม้ มีดอกสวยงาม พบในหุบเขาของเกาหลี รากใช้ทำอาหารและยา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีMan-yi มานหยี่ ชื่อช่องแคบ ปัจจุบันเป็นอ่างเก็บน้ำ ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Usagi อุซางิ กระต่าย ญี่ปุ่นPabuk ปาบึก (ปลาบึก) ชื่อปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวWutip หวู่ติ๊บ ผีเสื้อ มาเก๊าSepat เซอปัต ปลาน้ำจืดซึ่งมีครีบเล็ก ๆ สำหรับคลาน มาเลเซียFitow ฟิโทว์ ชื่อดอกไม้สวย มีกลิ่นหอม [ภาษาพื้นเมืองของเกาะยาป ( Yap) ] ไมโครนีเซียDanas ดานัส ประสบการณ์และความรู้สึก ฟิลิปปินส์Nari นารี ดอกไม้ สาธารณรัฐเกาหลีWipha วิภา ชื่อผู้หญิง ไทยFrancisco ฟรานซิสโก ชื่อผู้ชาย [ภาษาพื้นเมืองของหมู่เกาะมาเรียนา(Mariana)ในมหาสมุทรแปซิฟิก] สหรัฐอเมริกาLekima เลกีมา ชื่อผลไม้ เวียดนามKrosa กรอซา ปั้นจั่น กัมพูชาHaiyan ไห่เยี่ยน ชื่อนกทะเล สาธารณรัฐประชาชนจีนPodul โพดอล ต้นหลิว ต้นไม้ที่มักพบในตัวเมืองและชนบทของเกาหลี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีLingling เหล่งเหลง ชื่อหญิงสาว ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Kajiki คะจิกิ ชื่อปลาทะเลที่เกล็ดจะเปลี่ยนสีเมื่อพ้นน้ำ ญี่ปุ่นFaxai ฟ้าใส ชื่อผู้หญิง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวPEIPAH เพผ่า ชื่อปลาสวยงาม (แทน Vamei) มาเก๊า(Vamei) (ฮัวเหม่ย) นกชนิดหนึ่งมีเสียงร้องไพเราะ Tapah ตาปาห์ ชื่อปลาน้ำจืด มาเลเซียMitag มิแทก ชื่อผู้หญิง {ภาษาพื้นเมืองของเกาะในประเทศไมโครนีเชีย} ไมโครนีเซียHagibis ฮากิบิส รวดเร็ว ว่องไว ฟิลิปปินส์Neoguri โนกูรี สนุขพันธุ์ราคูน สาธารณรัฐเกาหลีRammasun รามสูร ชื่อยักษ์ในเทพนิยายไทย ไทยChataan ชาทาอาน ฝน [ภาษาพื้นเมืองของหมู่เกาะมาเรียนา(Mariana)ในมหาสมุทรแปซิฟิก] สหรัฐอเมริกาHalong หะลอง ชื่ออ่าวสวยงามในเวียดนาม เวียดนามNakri นากรี ชื่อดอกไม้ กัมพูชาFengshen ฟงเฉิน ชื่อเทพเจ้าแห่งลม สาธารณรัฐประชาชนจีนKalmaegi คัลเมจิ นกนางนวล ( สัญลักษณ์แห่งท้องทะเล ) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีFung-wong ฟองวอง ชื่อยอดเขา ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Kammuri คัมมุริ มงกุฎ ญี่ปุ่นPhanfone พันฝน สัตว์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวVongfong หว่องฟง ชื่อแมลง มาเก๊าRusa รูซา กวาง มาเลเซียSinlaku ซินลากอ ชื่อเทพธิดาในนิยาย ไมโครนีเซียHagupit ฮากุปิต เฆี่ยนตี ฟิลิปปินส์Jangmi ชังมี กุหลาบ สาธารณรัฐเกาหลีMekkhala เมขลา ชื่อเทพธิดาในเทพนิยายไทย ไทยHigos ฮีโกส ชื่อพืชชนิดหนึ่ง [ภาษาพื้นเมืองหมู่เกาะมารีน่า(Mariana) ในมหาสมุทรแปซิฟิก] สหรัฐเมริกาBavi บาหวี่ ชื่อภูเขาในภาคเหนือของเวียดนาม เวียดนามMaysak ไม้สัก ชื่อต้นไม้ [ ภาษาพื้นเมืองชองหมู่เกาะมารีนา (Mariana) ในมหาสมุทรแปซิฟิก] กัมพูชาHaishen ไห่เฉิน ชื่อเทพเจ้าแห่งท้องทะเล สาธารณรัฐประชาชนจีนPongsona พงโซนา ชื่อดอกไม้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีYanyan ยันยัน ชื่อสาวน้อย ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Kujira คุจิระ ปลาวาฬ ญี่ปุ่นChan-hom จันหอม (จันทน์หอม) ชื่อต้นไม้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวLinfa หลิ่นฟ้า ดอกบัว มาเก๊าNangka นังกา ชื่อผลไม้ มาเลเซียSoudelor เซาเดโลร์ ชื่อหัวหน้าเผ่าในเทพนิยายของชาวเกาะโปนเป( Pohnpei) ไมโครนีเซียImbudo อิมบุโด พายุงวงช้าง ฟิลิปปินส์Goni โคนี หงส์ซึ่งส่งเสียงร้อง สาธารณรัฐเกาหลีMorakot มรกต มรกต ไทยEtau เอตาว เมฆพายุ [ภาษาพื้นเมืองของเกาะปาเลา (Palau)] สหรัฐอเมริกาVamco หว่ามก๋อ ชื่อแม่น้ำในภาคใต้ของเวียดนาม เวียดนามKrovann กรอวาญ ชื่อต้นไม้ กัมพูชา(กระวาน) Dujuan ตู้เจี้ยน ชื่อไม้ดอก สาธารณรัฐประชาชนจีนMaemi เมมิ สัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งมักส่งเสียงร้องในฤดูร้อน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเมื่อเวลาเกิดพายุไต้ฝุ่นเข้าสู่ประเทศเกาหลี Choi-wan ฉอยหวั่น เมฆซึ่งมีสีสันสวยงาม ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Koppu คอบปุ ปล่องภูเขาไฟ, หลุม หรือแก้ว ญี่ปุ่นKitsana กิสนา (กฤษณา) ชื่อต้นไม้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวParma ป้าหม่า อาหารชนิดหนึ่งของมาเก๊า ประกอบด้วยเนื้อสะโพก ตับ และเห็ด มาเก๊าMelor เมอโลร์ ดอกมะลิ มาเลเซียNepartak เนพาร์ตัก นักรบผู้มีชื่อเสียง ไมโครนีเซียLupit ลูปีต ความโหดร้ายทารุณ ฟิลิปปินส์Sudal ซูแดล นาก สาธารณรัฐเกาหลีNida นิดา ชื่อผู้หญิง ไทยOmais โอไมส์ การเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ [ภาษาพื้นเมืองของเกาะปาเลา (Palau)] สหรัฐอเมริกาConson โกนเซิน ชื่อโบราณสถาน เวียดนามChanthu จันทู ชื่อดอกไม้ กัมพูชาDianmu เตี้ยนหมู่ เจ้าแม่สายอสุนี สาธารณรัฐประชาชนจีนMindulle มินดอนเล ดอกไม้เล็ก ๆสีเหลืองบานในฤดูใบไม่ผลิ สื่อถึงจิตใจที่อ่อนโยนและบริสุทธิ์ของสาวเกาหลี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีTingting เถ่งเถง ชื่อสาวน้อย ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Kompasu คอมปาซุ วงเวียน ญี่ปุ่นNamtheun น้ำเทิน ชื่อแม่น้ำ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวMalou หม่าโหล หินโมรา มาเก๊าMeranti เมอรันตี ชื่อต้นไม้ มาเลเซียRananim รานานิม คำสวัสดี [ภาษาพื้นเมืองของเกาะชุก (Chuuk)] ไมโครนีเซียMalakas มาลากัส แข็งแกร่ง เต็มไปด้วยพลัง ฟิลิปปินส์Megi เมกี ปลา สาธารณรัฐเกาหลีChaba ชบา ดอกชบา (ดอกไม้เขตร้อนชนิดหนึ่ง) ไทยAere แอรี สหรัฐอเมริกาSongda ซงด่า ชื่อแม่น้ำในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม เวียดนามSarika สาลิกา ชื่อนกชนิดหนึ่ง ชอบร้องเพลง กัมพูชาHaima ไหหม่า ม้าน้ำ สาธารณรัฐประชาชนจีนMeari มิอะริ เสียงสะท้อน(หมายถึง ทันทีที่เกิดพายุไต้ฝุ่น คำประกาศแจ้งของคณะกรรมการไต้ฝุ่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีก็จะสะท้อนก้องไปสู่ประเทศสมาชิก) Ma-on หมาง้อน อานม้า ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Tokage โทะคาเงะ สัตว์เลื้อยคลาน พวกจิ้งจก ตุ๊กแก ญี่ปุ่นNock-ten นกเตน (นกกระเต็น) ชื่อนก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวMuifa หมุ่ยฟ้า ดอกพลัมบาน มาเก๊าMerbok เมอร์บุก ชื่อนก มาเลเซียNamadol นันมาดอล โบราณสถานที่มีชื่อเสียงของโปนเป (Pohnpei) หรือ เวนิชแห่งแปซิฟิก ไมโครนีเซีย Talas ตาลัส แหลมคม ฟิลิปปินส์Noru โนรู กวาง สาธารณรัฐเกาหลีKulap กุหลาบ ชื่อดอกไม้ ไทยRoke โรคี ชื่อผู้ชาย [ในภาษาพื้นเมืองของหมู่เกาะมาเรียนา (Mariana)ในมหาสมุทรแปซิฟิก] สหรัฐอเมริกาSonca เซินกา ชื่อนกชนิดหนึ่ง ชอบร้องเพลง เวียดนามNesat เนสาด ชาวประมง กัมพูชาHaitang ไห่ถาง ชื่อผลไม้ของจีน สาธารณรัฐประชาชนจีนNalgae นาลแก ปีก (หมายถึงการโบยบิน เคลื่อนที่ เคลื่อนไหวอย่างมีอิสระ) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีBanyan บันยัน ชื่อต้นไม้ ฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)Washi วาชิ ชื่อหมู่ดาว นกอินทรีย์ ญี่ปุ่นMatsa มัดสา (มัศยา,มัตสยา,มัสยา) ปลาตัวเมีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวSanvu ซันหวู่ หินปะการัง มาเก๊าMawar มาวาร์ กุหลาบ มาเลเซียGuchol กูโชล เครื่องเทศชนิดหนึ่ง ไมโครนีเซียTalim ตาลิม แหลมคม หรือ ด้านคมของใบมีด ฟิลิปปินส์Nabi นาบี ผีเสื้อ สาธารณรัฐเกาหลีKhanun ขนุน ชื่อผลไม้ ไทยVicente วีเซนเต เมฆ [ภาษาชามาร์โร Chamarro)] สหรัฐอเมริกาSaola ซาวลา สัตว์ชนิดหนึ่ง ค้นพบในเวียดนาม เวียดนามมีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2551 (จากการประชุมคณะกรรมการไต้ฝุ่นครั้งที่ 40 ณ ประเทศมาเก๊า ระหว่างวันที่ 21-26 พฤศจิกายน 2550 )ที่มา http://www.tmd.go.th/info/info.php?FileID=28
เขียนโดย ด.ญ.ธันยพร ดอนแก้ว 0 ความคิดเห็น

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552

การเดินทางในสมัยก่อน
เรือหางแมลงป่อง อดีตการเดินทางในลำน้ำปิง"เรือหางแมลงป่อง" อดีตการเดินทางในลำน้ำปิง (ลีด) การที่ต้องลงแช่น้ำอยู่เป็นเวลานาน ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังได้ง่าย เมื่อเป็นแล้วก็ยากที่จะรักษาให้หายเพราะสมัยก่อนยังไม่มียา การสวมเสื้อผ้าที่เปียกชื่นและทำงานหนักทำให้เหงื่อไคลหมักหมมอับชื้น เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ลูกถ่อจำเป็นต้องเปลือยกายเวลาที่ถ่อเรือ พาหนะทางน้ำที่ใช้เดินทางขึ้นล่องระหว่างกรุงเทพกับเมืองเชียงใหม่ในสมัยโบราณก็คือ การเดินทางโดยเรือหางแมลงป่อง ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เมืองระแหง หรือ เมืองตาก ระหว่างที่เรือขึ้นล่องในลำน้ำปิงนั้นจะต้องผ่านเกาะแก่งน้อยใหญ่หลายสิบแห่ง เพราะทางน้ำบางตอนตัดผ่านเข้าไปในเทือกเขาแคบ กระแสน้ำจึงไหลเชี่ยวจัดอีกทั้งใต้น้ำก็ยังมีโขดหินแหลมคมซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับการเดินทาง ในการล่องเรือหางแมลงป่องแต่ละครั้งจะต้องใช้ลูกเรือหลายสิบคนเพื่อมาช่วยกันดึงเรือทวนกระแสน้ำขึ้นไปให้พ้นแก่งด้วยความยากลำบาก หากเรือและคนไม่แข็งแรงและชำนาญทางแล้วอาจทำให้เรือได้รับอันตรายและล่มกลางลำน้ำได้ นี่จึงเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ว่าทำไมการเดินทางโดยเรือในสมัยโบราณนั้นจึงต้องใช้เรือเป็นจำนวนมากไปกันเป็นขบวนมโหฬาร เพราะลูกเรือจะได้ช่วยกันดึงฉุดเรือ ปกติแล้วการเดินเรือในสมัยก่อนจะนิยมใช้เรือหางแมลงป่องมาก ในการเดินทางลูกถ่อบางคนอาจจะต้องเปลือยกายถ่อเรือ เนื่องจากการเดินทางรอนแรมไปกับเรือเป็นเวลานานหลายวันหลายสัปดาห์ บางครั้งท้องเรือติดทรายใต้น้ำก็ต้องลงไปเข็นหรือลากเรือเข้าสู่ร่องน้ำ จนเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ไม่มีเวลาแห้ง โดยเฉพาะเสื้อผ้าของคนสมัยก่อนหาได้ไม่ง่ายนักคนหนึ่งจะมีเพียง 1 - 2 ชุดเท่านั้น จึงต้องถนุถนอมเสื้อผ้าไว้ใช้ในยามที่จำเป็น การที่ต้องลงแช่น้ำอยู่เป็นเวลานาน ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังได้ง่าย เมื่อเป็นแล้วก็ยากที่จะรักษาให้หายเพราะสมัยก่อนยังไม่มียา การสวมเสื้อผ้าที่เปียกชื่นและทำงานหนักทำให้เหงื่อไคลหมักหมมอับชื้น เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ลูกถ่อจำเป็นต้องเปลือยกายเวลาที่ถ่อเรือ รูปแบบของเรือหางแมลงป่องหรือเรือสีดอ ซึ่งใช้เดินทางขึ้นล่องตามลำน้ำแม่ปิงในสมัยโบราณนั้น ลักษณะของหัวเรือจะทำด้วยไม้ทั้งท่อน ด้านบนเรือจะแบนเรียบตลอดส่วนด้านล่างจะเป็นเหลี่ยมรูปจั่วแต่กลับเอาด้านแหลมลง ตนอบนของหัวเรือจะยกเชิดสูงขึ้นเพื่อสำหรับให้ลูกถ่อขึ้นไปเหยียบพร้อมกับออกแรงถีบส่งให้หัวเรือพุ่งไปข้างหน้า ถัดจากหัวเรือจะเป็นลานไม้กระดานกว้างพอที่จะให้คนถ่อหลาย ๆ คนไปยืน โดยที่ไม่เกะกะขวางทางกัน เมื่อลูกถ่อเอาไม้ถ่อยันพื้นดินใต้น้ำแล้วจะออกเดินพร้อมกับถีบเรือให้พุ่งไปข้างหน้า เมื่อถ่อพ้นส่วนหัวเรือที่ยกสูงแล้วนั้น ลูกถ่อจะเดินเลียบไปตามแคมหัวเรือจนสุดสุดช่วงลานไม้กระดาน แล้วดึงไม้ถ่อกลับขึ้นมา แล้วจะยกไม้ให้สูงขวางลำเรือเพื่อให้พ้นหัวลูกถ่อ จากนั้นจึงเดินไปตั้งต้นถ่ออีกวนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป ถ้าเป็นเที่ยวขึ้นมาเรือจะต้องทวนกระแสน้ำที่เชี่ยว คนที่ถ่อจะต้องออกแรงอย่างหนักและต้องถ่อด้วยความรวดเร็วเพื่อสู้กับกระแสน้ำ สำหรับตอนกลางของลำเรือซึ่งเป็นส่วนที่กว้างที่สุดของเรือคือที่สำหรับบรรทุกสัมภาระ มีหลังคาโค้งทำด้วยไม่ไผ่สานทางด้วยชันเพื่อป้องกันแดดและฝน บนหลังเรือยังมีหลังคาเสริมขึ้นอีกชั้น วางอยู่บนรางไม้ไผ่ หลังคาอันบนสุดนี้สามารถเลื่อนปิดเปิดได้ ส่วนท้ายเรือซึ่งอยู่ถัดจากห้องสัมภาระนี้ไปคือห้องโดยสารซึ่งยกพื้นสูงกว่าระดับห้องสัมภาระ หลังคาของห้องโดยสารนี้จะแยกออกต่างหากกับหลังคาห้องสัมภาระและทำหลังคาสูงกว่า ผู้โดยสารจึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้รอบทิศ ทางด้านข้างจะมีหน้าต่างไม้กระดานสามารถเลื่อนปิดเปิดได้เหมือนกัน ถัดจากห้องโดยสารจึงเป็นลานไม้กระดานส่วนท้ายเรือ ซึ่งเหมือนกันหัวเรือแต่ลานนี้จะมีระยะสั้นกว่างเล็กน้อย เพราะส่วนนี้ไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้แรงคนถ่อมากเท่ากับตอนหัวเรือ สำหรับด้านสุดท้ายของเรือจะเป็นที่นั่งของคนถือท้ายซึ่งนั่งถือใบพายขนาดใหญ่ คอยคัดท้ายเรือให้แล่นไปตามทิศทางที่ต้องการ คนถือท้ายเรือนี้ส่วนมากจะเป็นคนเฒ่าคนแก่ที่มีความชำนาญทางและรู้ร่องน้ำเป็นอย่างดี ส่วนปลายสุดของเรือจะเป็นท่อนไม้ทั้งท่อนเช่นเดียวกับหัวเรือ ส่วนใหญ่มีแบนและมีขนาดใหญ่กว่าส่วนหัวของเรือ เรือหางแมลงป่องบางลำจะทำท้ายเรือเชิดสูงมากและบากเป็นรูปปากฉลาม ชาวบ้านจึงเรียกว่า "เรือหางแมลงป่อง" การเดินทางโดยเรือหางแมลงป่องตามลำน้ำปิงแต่ละครั้งนั้น ต้องไปกันเป็นขบวนจำนวนหลายสิบลำ เนื่องจากสินค้าที่นำไปขายแต่ละครั้งมีจำนวนมากซึ่งต้องใช้เรือหลายลำบรรทุกไป และเพื่อความปลอดภัยจากการถูกดักปล้นระหว่างทางกับทั้งเพื่อป้องกันสัตว์ร้ายซึ่งมีอยู่ซุกชุมในป่าเวลาเดินทางด้วย เพราะในเวลากลางคืนคนในเรือจะออกมาตั้งแคมป์นอนพักอยู่บนฝั่ง นอกจากนั้นยังจะไว้คอยช่วยเหลือฉุดลากเรือที่มาด้วยกันอีกด้วย หลังจากที่ได้มีการสร้างทางรถไฟมาถึงเชียงใหม่แล้ว ความนิยมในการใช้เรือหางแมลงป่องเดินทางขนส่งสินค้าขึ้นล่องในลำน้ำปิงก็ลดลงไป เนื่องจากรถไฟมีความสะดวกรวดเร็วกว่า เรือหางแมลงป่องจึงค่อยๆ หายไปจากสายน้ำแม่ปิง ทิ้งไว้เพียงแค่ตำนานของคืนวันในการเดินทางอันแสนยากลำบาก ซึ่งในวันนี้ได้กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว...

การเดินทางสมัยก่อน

การเดินทางในสมัยก่อน
เรือหางแมลงป่อง อดีตการเดินทางในลำน้ำปิง"เรือหางแมลงป่อง" อดีตการเดินทางในลำน้ำปิง (ลีด) การที่ต้องลงแช่น้ำอยู่เป็นเวลานาน ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังได้ง่าย เมื่อเป็นแล้วก็ยากที่จะรักษาให้หายเพราะสมัยก่อนยังไม่มียา การสวมเสื้อผ้าที่เปียกชื่นและทำงานหนักทำให้เหงื่อไคลหมักหมมอับชื้น เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ลูกถ่อจำเป็นต้องเปลือยกายเวลาที่ถ่อเรือ พาหนะทางน้ำที่ใช้เดินทางขึ้นล่องระหว่างกรุงเทพกับเมืองเชียงใหม่ในสมัยโบราณก็คือ การเดินทางโดยเรือหางแมลงป่อง ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เมืองระแหง หรือ เมืองตาก ระหว่างที่เรือขึ้นล่องในลำน้ำปิงนั้นจะต้องผ่านเกาะแก่งน้อยใหญ่หลายสิบแห่ง เพราะทางน้ำบางตอนตัดผ่านเข้าไปในเทือกเขาแคบ กระแสน้ำจึงไหลเชี่ยวจัดอีกทั้งใต้น้ำก็ยังมีโขดหินแหลมคมซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับการเดินทาง ในการล่องเรือหางแมลงป่องแต่ละครั้งจะต้องใช้ลูกเรือหลายสิบคนเพื่อมาช่วยกันดึงเรือทวนกระแสน้ำขึ้นไปให้พ้นแก่งด้วยความยากลำบาก หากเรือและคนไม่แข็งแรงและชำนาญทางแล้วอาจทำให้เรือได้รับอันตรายและล่มกลางลำน้ำได้ นี่จึงเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ว่าทำไมการเดินทางโดยเรือในสมัยโบราณนั้นจึงต้องใช้เรือเป็นจำนวนมากไปกันเป็นขบวนมโหฬาร เพราะลูกเรือจะได้ช่วยกันดึงฉุดเรือ ปกติแล้วการเดินเรือในสมัยก่อนจะนิยมใช้เรือหางแมลงป่องมาก ในการเดินทางลูกถ่อบางคนอาจจะต้องเปลือยกายถ่อเรือ เนื่องจากการเดินทางรอนแรมไปกับเรือเป็นเวลานานหลายวันหลายสัปดาห์ บางครั้งท้องเรือติดทรายใต้น้ำก็ต้องลงไปเข็นหรือลากเรือเข้าสู่ร่องน้ำ จนเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ไม่มีเวลาแห้ง โดยเฉพาะเสื้อผ้าของคนสมัยก่อนหาได้ไม่ง่ายนักคนหนึ่งจะมีเพียง 1 - 2 ชุดเท่านั้น จึงต้องถนุถนอมเสื้อผ้าไว้ใช้ในยามที่จำเป็น การที่ต้องลงแช่น้ำอยู่เป็นเวลานาน ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังได้ง่าย เมื่อเป็นแล้วก็ยากที่จะรักษาให้หายเพราะสมัยก่อนยังไม่มียา การสวมเสื้อผ้าที่เปียกชื่นและทำงานหนักทำให้เหงื่อไคลหมักหมมอับชื้น เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ลูกถ่อจำเป็นต้องเปลือยกายเวลาที่ถ่อเรือ รูปแบบของเรือหางแมลงป่องหรือเรือสีดอ ซึ่งใช้เดินทางขึ้นล่องตามลำน้ำแม่ปิงในสมัยโบราณนั้น ลักษณะของหัวเรือจะทำด้วยไม้ทั้งท่อน ด้านบนเรือจะแบนเรียบตลอดส่วนด้านล่างจะเป็นเหลี่ยมรูปจั่วแต่กลับเอาด้านแหลมลง ตนอบนของหัวเรือจะยกเชิดสูงขึ้นเพื่อสำหรับให้ลูกถ่อขึ้นไปเหยียบพร้อมกับออกแรงถีบส่งให้หัวเรือพุ่งไปข้างหน้า ถัดจากหัวเรือจะเป็นลานไม้กระดานกว้างพอที่จะให้คนถ่อหลาย ๆ คนไปยืน โดยที่ไม่เกะกะขวางทางกัน เมื่อลูกถ่อเอาไม้ถ่อยันพื้นดินใต้น้ำแล้วจะออกเดินพร้อมกับถีบเรือให้พุ่งไปข้างหน้า เมื่อถ่อพ้นส่วนหัวเรือที่ยกสูงแล้วนั้น ลูกถ่อจะเดินเลียบไปตามแคมหัวเรือจนสุดสุดช่วงลานไม้กระดาน แล้วดึงไม้ถ่อกลับขึ้นมา แล้วจะยกไม้ให้สูงขวางลำเรือเพื่อให้พ้นหัวลูกถ่อ จากนั้นจึงเดินไปตั้งต้นถ่ออีกวนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป ถ้าเป็นเที่ยวขึ้นมาเรือจะต้องทวนกระแสน้ำที่เชี่ยว คนที่ถ่อจะต้องออกแรงอย่างหนักและต้องถ่อด้วยความรวดเร็วเพื่อสู้กับกระแสน้ำ สำหรับตอนกลางของลำเรือซึ่งเป็นส่วนที่กว้างที่สุดของเรือคือที่สำหรับบรรทุกสัมภาระ มีหลังคาโค้งทำด้วยไม่ไผ่สานทางด้วยชันเพื่อป้องกันแดดและฝน บนหลังเรือยังมีหลังคาเสริมขึ้นอีกชั้น วางอยู่บนรางไม้ไผ่ หลังคาอันบนสุดนี้สามารถเลื่อนปิดเปิดได้ ส่วนท้ายเรือซึ่งอยู่ถัดจากห้องสัมภาระนี้ไปคือห้องโดยสารซึ่งยกพื้นสูงกว่าระดับห้องสัมภาระ หลังคาของห้องโดยสารนี้จะแยกออกต่างหากกับหลังคาห้องสัมภาระและทำหลังคาสูงกว่า ผู้โดยสารจึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้รอบทิศ ทางด้านข้างจะมีหน้าต่างไม้กระดานสามารถเลื่อนปิดเปิดได้เหมือนกัน ถัดจากห้องโดยสารจึงเป็นลานไม้กระดานส่วนท้ายเรือ ซึ่งเหมือนกันหัวเรือแต่ลานนี้จะมีระยะสั้นกว่างเล็กน้อย เพราะส่วนนี้ไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้แรงคนถ่อมากเท่ากับตอนหัวเรือ สำหรับด้านสุดท้ายของเรือจะเป็นที่นั่งของคนถือท้ายซึ่งนั่งถือใบพายขนาดใหญ่ คอยคัดท้ายเรือให้แล่นไปตามทิศทางที่ต้องการ คนถือท้ายเรือนี้ส่วนมากจะเป็นคนเฒ่าคนแก่ที่มีความชำนาญทางและรู้ร่องน้ำเป็นอย่างดี ส่วนปลายสุดของเรือจะเป็นท่อนไม้ทั้งท่อนเช่นเดียวกับหัวเรือ ส่วนใหญ่มีแบนและมีขนาดใหญ่กว่าส่วนหัวของเรือ เรือหางแมลงป่องบางลำจะทำท้ายเรือเชิดสูงมากและบากเป็นรูปปากฉลาม ชาวบ้านจึงเรียกว่า "เรือหางแมลงป่อง" การเดินทางโดยเรือหางแมลงป่องตามลำน้ำปิงแต่ละครั้งนั้น ต้องไปกันเป็นขบวนจำนวนหลายสิบลำ เนื่องจากสินค้าที่นำไปขายแต่ละครั้งมีจำนวนมากซึ่งต้องใช้เรือหลายลำบรรทุกไป และเพื่อความปลอดภัยจากการถูกดักปล้นระหว่างทางกับทั้งเพื่อป้องกันสัตว์ร้ายซึ่งมีอยู่ซุกชุมในป่าเวลาเดินทางด้วย เพราะในเวลากลางคืนคนในเรือจะออกมาตั้งแคมป์นอนพักอยู่บนฝั่ง นอกจากนั้นยังจะไว้คอยช่วยเหลือฉุดลากเรือที่มาด้วยกันอีกด้วย หลังจากที่ได้มีการสร้างทางรถไฟมาถึงเชียงใหม่แล้ว ความนิยมในการใช้เรือหางแมลงป่องเดินทางขนส่งสินค้าขึ้นล่องในลำน้ำปิงก็ลดลงไป เนื่องจากรถไฟมีความสะดวกรวดเร็วกว่า เรือหางแมลงป่องจึงค่อยๆ หายไปจากสายน้ำแม่ปิง ทิ้งไว้เพียงแค่ตำนานของคืนวันในการเดินทางอันแสนยากลำบาก ซึ่งในวันนี้ได้กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว...

ประวัติศาสตร์ให้โด่งดังปรากฎไปทั่วโลก และนำพระเกียรติยศเกียรติประวัติมาสู่ประเทศไทย นำความภาคภูมิใจมาสู่ประชาชนชาวไทยตราบทุกวันนี้ โดยเป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 เสด็จพระราชดำเนินโดยเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดชเพื่อทรงพิสูจน์การคำนวณสถานที่และเวลาการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้อย่างถูกต้องชัดเจน ซึ่งคำนวณล่วงหน้าไว้ถึง 2 ปีว่าจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในวันอังคาร เดือน 9 ขึ้น 1 ค่ำปีมะโรง จุลศักราช 1230 ตรงกับวันที่ 18 สิงหาคม 2411 โดยเส้นศูนย์ของอุปราคาจะผ่านมาใกล้ที่สุด ณ บ้านหว้ากอ แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ ในพระราชอาณาจักรสยาม ทางฝั่งทะเลตะวันออกของแหลมมลายู ตรงเส้นวิตถันดร (แลตติดจูต) 11 องศา 38 ลิปดาทิศเหนือ และเส้นทีรฆันดร (ลองติดจูต) 29 องศา 39 ลิปดาทิศตะวันออก โดยคราสเริ่มจับเวลา 10 นาฬิกา 4 นาที จับเต็มดวง เวลา 11 นาฬิกา 36 นาที 20 วินาที กินเวลานาน 6 นาที 45 วินาที คลายคราสออกเวลา 13 นาฬิกา 37 นาที 45 วินาที ซึ่งไม่ปรากฎว่ามีหลักฐานการคำนวณจากประเทศตะวันตกมาก่อนหน้านี้ในระหว่างนั้นประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศต่างก็เฝ้ารอวันพิสูจน์การเกิดสุริยุปราคาที่หว้ากอ เมื่อใกล้ถึงวัน ทรงโปรดให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์มาสร้างค่ายไว้ล่วงหน้า และพระองค์ได้ใช้ค่ายนี้เป็นห้องทดลองวิทยาศาสตร์กลางแจ้ง เพื่อเป็นที่ชุมนุมของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกและคณะฑูตานุทูตประเทศต่างๆ แล้วก็เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ตามที่พระองค์ทรงคำนวณ โดยไม่คลาดเคลื่อน พระราชกรณียกิจในครั้งนั้นทำให้พระเกียรติยศระบือไกล บรรดาแขกต่างประเทศจำนวนมากได้รับทราบถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ที่มีไม่แพ้ชาติใด ทั้งๆที่ยังขาดเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ พระเกียรติคุณในด้านวิทยาศาสตร์ เป็นที่ยอมรับและปรากฎเด่นชัดแก่บรรดานักปราชญ์ และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก แต่ประชาชนชาวไทยก็ต้องประสบกับความสญเสียครั้งใหญ่หลวง เมื่อพระองค์เสด็จกลับกรุงเทพได้เพียง 5 วัน ก็ทรงประชวรและเสด็จสวรรคตด้วยไข้มาเลเรีย ในวันที่ 1 ตุลาคม 2411 นั่นเองเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระองค์และวันสำคัญทางประวัติศาสตร์นั้น ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2532 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ และในวันที่ 3 พฤษภาคม 2533 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานนามสถานที่แห่งนี้ว่า "อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศจัดตั้งขึ้นเป็นสถานศึกษาเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2536 ปัจจุบันสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย"ที่มาhttp://www.waghor.go.th/v1/aboutus/aboutus.html
เขียนโดย ธันยพร ดอนแก้ว


ความหมายของเซลล์

เซลล์ คือ หน่วยโครงสร้างที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต ทำหน้าที่เป็นทั้งหน่วยโครงสร้างและหน้าที่ของการประสานงานและการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้นั้นก็เนื่องจากความมีชีวิตของเซลล์ ในการเกิดเซลล์ใหม่ก็เกี่ยวข้องกับกระบวนการถ่ายทอดพันธุกรรมจากเซลล์หนึ่งไปเซลล์หนึ่ง และกิจกรรมต่างๆของสิ่งมีชีวิตก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของเซลล์ ขนาดของเซลล์ มีขนาดต่างกันมากมาย เซลล์ที่มีขนาดเล็กที่สุด คือ ไมโครพลาสมา (Mycoplasma) หรือ PPLO (Pleuropneumonia-like Organism) เป็นเซลล์ที่ประกอบด้วยสารพันธุกรรมที่ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส ไรโบโซม เยื่อหุ้มเซลล์และเอมไซม์ที่จำเป็นประมาณ 40 กว่าชนิดเท่านั้น เซลล์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ เซลล์ไข่นกกระจอกเทศ ในการวัดขนาดของเซลล์ ใช้มาตร ส่วนประกอบของเซลล์พืช

1.ผนังเซลล์ (Cell Wall) เป็นส่วนทีอยู่นอกสุด ทำหน้าที่กั้นส่วนภายในของเซลล์แต่ละเซลล์ สร้างความแข็งแรง ทำให้เซลล์คงรูปร่างอยู่ได้ มีช่องสำหรับให้สารต่างๆผ่านเข้าออกเซลล์ได้ ผนังเซลล์ใบไม้ ดอกไม้ จะเปื่อยยุ่ยง่าย ถ้าเป็นพวกเนื้อไม้ เปลือกผลไม้แข็ง ผนังเซลล์จะหนาและทนทาน ในเซลล์ของสัตว์เราจะไม่พบผนังเซลล์
2.เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane) มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆ ประกอบด้วยสารประเภทไขมันและโปรตีน ทำหน้าที่ควบคุมการผ่านเข้าออกของสารบางอย่าง เช่น น้ำ อากาศ และสารละลายต่างๆ

3.ไซโทพลาสซึม (Cytoplasm) อยู่ระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์กับนิวเคลียส มีลักษณะเป็นของเหลวที่มีสิ่งต่างๆปนอยู่ เช่น น้าตาล ไขมัน โปรตีนและของเสียอื่นๆ ไซโทพลาสซึมในพืชมีเม็ดสีเขียวที่เรียกว่า คลอโรพลาสต์ (Cholroplast) ประกอบด้วย (ในสัตว์ไม่มี)
a.นิวเคลียส เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของเซลล์ในไซโทพลาสซึม มีลักษณะค่อนข้างกลม ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ การเจริญเติบโตตลอดจนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม จาก พ่อแม่ไปสู่ลูกหลาน ในนิวเคลียสจะมีส่วนประกอบ 2 อย่าง คือ
b.นิวคลีโอลัส (Nucleolus) ประกอบด้วยสารประกอบ DNA (Deoxyribonucleic Acid) และ RNA (Ribonucleic Acid) เป็นส่วนใหญ่ และเป็นแหล่งสร้างไลโบโซม แล้วไหลออกสู่ ไซโทพลาสซึม ผ่านทางช่องเยื่อบุนิวเคลียส เพื่อทำหน้าที่สังเคราะห์โปรตีนให้แก่เซลล์ แล้วส่งออกไปนอกเซลล์

4.โครมาทิน(Chromatin) ร่างแหของโครโมโซม (Chromosome) ประกอบด้วย DNA หรือที่เรียกว่า จีน (Gene) และมีรหัสพันธุกรรม (Genetic Code) ทำหน้าที่ควบคุมการสร้างโปรตีนและ DNA

5.แวคคิวโอล (Vacuole) พบได้ทั้งเซลล์พืชแลเซลล์สัตว์ แต่ในเซลล์พืชจะมีขนาดใหญ่กว่า ทำหน้าที่ผ่านเข้าออกของสารระหว่างแวคคิวโอลและไซโทพลาสซึม เป็นที่พักและที่เก็บสะสมของเสียก่อนถูกขับออกจากเซลล์



www.bodin2.ac.th/web/13042/images/image860.jpg

เซลล์สัตว์

โครงสร้างของเซลล์สัตว์

1. เยื่อหุ้มเซลล์(Cell Membrane) มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆ ทำหน้าที่ควบคุมการเข้าออกของสาร
2. ไซโทพลาสซึม (Cytoplasm) เป็นของเหลวมีสิ่งต่างๆปนอยู่ เช่น ส่วนประกอบของเซลล์อื่น น้ำ อาหาร อากาศ
3. นิวเคลียส เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด มีลัษณะค่อนข้างกลม ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ การเจริญเติบโตตลอดจนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลาน


เซลล์เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการจัดระบบสารเคมีต่างๆ สารประกอบเคมีหลายชนิดมารวมกัน ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ลิปิด กรดนิคลีอิค วิตามิน แร่ธาตุต่างๆ และน้ำ เซลล์สามารถเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้ เซลล์มีการจัดระบบที่แตกต่างกันทำให้มีรูปร่างและการทำงานที่แตกต่างกันไปตามชนิดของเซลล์

ลักษณะทั่วไปของเซลล์ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ

1. เยื่อหุ้มเซลล์ เป็นเยื่อหุ้มที่มีหน้าที่ในการคัดเลือกสารที่จะเข้าออกจากเซลล์ และใช้ในการป้องกันตัวในสัตว์เซลล์เดียว
2. โปรโตพลาสซึม เป็นส่วนภายในเยื่อหุ้มเซลล์ ประกอบด้วย นิวเคลียสและ ไซโตพลาสซึม
เซลล์มี 2 ประเภท คือ

1. เซลล์โปรคาริโอท เป็นเซลล์ที่ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส
2. เซลล์ยูคาริโอท เป็นเซลล์ที่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส
เซลล์สัตว์ ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กประมาณ 0.5-2 ไมครอน (1 ไมครอน เท่ากับ 0.001 มิลลิเมตร) สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีจำนวนเซลล์ที่แตกต่างกัน สัตว์ที่มีขนาดใหญ่จะมีระบบร่างการที่ซับซ้อนก็จะมีจำนวนเซลล์มาก โดยสิ่งมีชีวิตจะมีการแบ่งเซลล์อย่างรวดเร็วในตอนแรก และจะช้าลงทั้งนี้อัตราการแบ่งตัวจะขึ้นอยู่กับว่าเป็นเซลล์ของร่างกายส่วนใด การแบ่งเซลล์มี 2 แบบ คือ
1. การแบ่งเซลล์แบบไมโตซีส เป็นการแบ่งเซลล์แบบที่มีจำนวนโครโมโซมคงเดิม เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อการเจริญเติบโต
2. การแบ่งเซลล์แบบไมโอซีส เป็นการแบ่งเซลล์แบบที่มีจำนวนโครโมโซมลดลง เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อการสืบพันธุ์

สิ่งมีชีวิตสามารถแบ่งโดยใช้ระดับเซลล์ ได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว มี 2 ระดับคือ ระดับเซลล์ และระดับกลุ่ม
2. สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ มี 3 ระดับ คือ ระดับเนื้อเยื่อ ระดับอวัยวะ และระดับระบบอวัยวะ

นักชีววิทยาแบ่งเซลล์ออกเป็น 2 ชนิด คือ
1.เซลล์โปรคาริโอต (Procaryotic Cell) เป็นเซลล์ที่ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส ได้แก่ แบคทีเรีย ไมโคพลาสมา และสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน มีโครงสร้างต่างๆดังนี้
1.1 ผนังเซลล์ (Cell Wall) หนาประมาณ 100 นาโนเมตร ห่อหุ้มเยื่อหุ้มเซลล์อีกทีหนึ่ง มีสารคล้ายวุ้นห่อหุ้มผนังเซลล์อีกชั้นหนึ่ง เรียกว่าปลอกหุ้มเซลล์ (Capsule) ทำหน้าที่ป้องกันอันตราย
1.2 เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane) ประกอบด้วยเยื่อบางๆ 2 ชั้นประกบกัน มีบางส่วนม้วนยื่นเข้าไปในเซลล์ เรียกว่า มีโซโซม (Mesosome)
1.3 บริเวณนิวเคลียส (Nucleus) บริเวณกลางเซลล์จะมีโครงสร้างคล้ายนิวเคลียส เรียกว่า Nucleoid ประกอบด้วยสาย DNA มีลักษณะเป็นเส้นหนาประมาณ 3-5 นาโนเมตร
1.4 ไรโบโซม (Ribosome) จะอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มภายในไซโทพลาสซึม มีลักะค่อนข้างกลม หน้าที่ คือ สังเคราะห์โปรตีน
1.5 แฟลกเจลลัม (Flagellum) เป็นโครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ ประกอบด้วยสารพวกโปรตีนที่มีกรดอะมิโน พวกกรดแอสพาติก และกรดกลูตามิก จำนวนมาก
1.6 ไพลัส (Pillus) มีหน้าที่ช่วยในการเกาะกันของเซลล์ ทำให้มีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งได้
1.7 เอนโดสปอร์ (Endospore) เป็นโครงสร้างคล้ายสปอร์ มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลาย สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ คือ Dipicolinic Acid (DPA) และ แคลเซียมไอออน ช่วยให้ทนความร้อนได้

เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเซลล์พืช และเซลล์สัตว์

เซลล์พืช เซลล์สัตว์
1. เซลล์พืชมีรูปร่างเป็นเหลี่ยม 1. เซลล์สัตว์มีรูปร่างกลม หรือรี
2. มีผนังเซลล์อยู่ด้านนอก 2. ไม่มีผนังเซลล์ แต่มีสารเคลือบเซลล์อยู่ด้านนอก
3. มีคลอโรพลาสต์ภายในเซลล์ 3. ไม่มีคลอโรพลาสต์
4. ไม่มีเซนทริโอล 4. มีเซนทริโอลใช้ในการแบ่งเซลล์
5. แวคคิวโอลมีขนาดใหญ่ มองเห็นได้ชัดเจน 5. แวคคิวโอลมีขนาดเล็ก มองเห็นได้ไม่ชัดเจน
6. ไม่มีไลโซโซม 6. มีไลโซโซม

การลำเลียงสารผ่านเซลล์

1).ลักษณะของสารผ่านเซลล์ สารที่สามารถลำเลียงผ่านเซลล์ได้นั้น มีทั้งลักษณะที่เป็นของเหลว ของแข็งและก๊าซ โดยที่สารประกอบเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับน้ำในลักษณะของสารผสมที่ต่างกัน 4 ลักษณะคือ
a) สารละลาย(Solution) สารผสมที่เกิดจากโมเลกุล หรือก๊าซของสาร 2 ชนิดมาผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน (Homogeneous) สารที่มีปริมาณมากกว่า เรียกว่า ตัวทำละลาย(Solvent) สารที่มีปริมาณน้อยกว่า เรียกว่า ตัวถูกละลาย (Solute)
i) สารละลายของก๊าซในของเหลว คือ สารละลายที่เกิดจากก๊าซละลายในน้ำ
ii) ก๊าซบางชนิดละลายน้ำได้น้อย และเมื่อละลายน้ำได้ยังคงโมเลกุลของก๊าซนั้นๆ ไม่รวมตัวหรือทำปฏิกริยากับน้ำ
iii) สารละลายของของเหลวในของเหลว คือ ของผสมที่เกิดจากของเหลวชนิดหนึ่งไปละลายในของเหลวอีกชนิดหนึ่ง
iv) สารละลายของแข็งในของเหลว คือ สารละลายที่เกิดจากสารประกอบที่เป็นของแข็งสามารถละลายน้ำได้ เช่น น้ำตาล
b) สารแขวนลอย(Suspension) คือ ของผสมที่เกิดจากการรวมตัวของสาร 2 ชนิด ซึ่งโมเลกุลของสารชนิดหนึ่งต่อเนื่องกันตลอด ส่วนโมเลกุลของสารอีกชนิดหนึ่งจะแยกตัวไปรวมกับอนุภาคสารแขวนลอย จัดเป็นสารที่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน (Heterogeneus)
c) อิมัลชั่น( Emulsion) คือสารผสมที่เกิดจากของเหลว 2 ชนิดไปรวมกันแต่ต่างก็ไม่มีการละลายในกันและกัน
d) คอลลอยด์ (Colloid) คือสารผสมที่เกิดจากสาร 2 ชนิดผสมกันแต่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน คือ ชนิดหนึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้สารอีกชนิดหนึ่งแขวนลอย คอลลอยด์มีหลายประเภทดังนี้
i) เจล (Gel)ii) ซอล(Sol)iii) แอโรซอล (Aerosol)
2) การลำเลียงสารโดยผ่านเยื่อหุ้มเซลล์มีหลายวิธีได้แก่
(1) การแพร่ (Diffusion) เป็นปรากฏการณ์ที่มีโมเลกุลหรือไอออนของสารมีการเคลื่อนที่ จากที่ที่มีโมเลกุลไออนที่หนาแน่น ไปยัง ที่ที่มีโมเลกุลไออนของสารน้อยกว่า สารที่แพร่ได้อาจอยู่ในสถาวะของก๊าซ ของเหลว หรืออนุภาคของของแข็งซึ่งแขวนลอย